นิทานของพระเจ้า

บทความนี้ผมไปอ่านเจอในอินเตอร์เน็ต เป็นบทความที่ดีนะผมว่า เราส่งจิตออกนอก จิตฟุ้งซ่าน จิตใจไม่อยู่กับเนื้อกับตัว ส่งไปยังไปที่ต่างๆ มนุษยชาติพยายามค้นหา พยายามพัฒนา พยายามทำสิ่งต่างๆมากมาย แต่เราลืมทำอยู่สิ่งหนึ่งคือหันมาดูจิตวิญญาณของตัวเอง  ลืมลมหายใจของตัวเอง ทำให้เราพลาดของดี จริงๆแล้วถ้าเราหันมาสนใจลมหายใจ หันมาปรับปรุงจิตไม่ให้ฟุ้งซ่าน มีสติกับกับจิตเสมอ เท่านั้นแหละคือการค้นพบสิ่งที่ยิ่งใหญ่และไม่ต้องไปค้นคว้าอะไรมากมาย  ลองอ่านดูครับผมว่าน่าอ่านนะ...ขอบคุณคนเขียน และ คนที่เอามาเผยแพร่
เรื่องเล่าของพระเจ้า

เรื่องเล่ากันต่อมา นานจนแทบลืมเลือนว่า
ครั้งหนึ่งบนอาณาจักรแห่งนิรันดร์กาล อันเป็นที่สถิตของพรหมัน หรือพระผู้เป็นเจ้า
พระพรหมันนั้น พระองค์ไม่ได้กำเนิดเกิดขึ้นเอง แต่กำเนิดขึ้นด้วยอำนาจของพลังอย่างหนึ่งที่เป็นปฐมเหตุ หน้าที่ของพระองค์คือ สร้างสรรค์จักรวาลและสรรพชีวิตขึ้นมา

ครั้นเมื่อพระองค์เริ่มสร้างมนุษย์ขึ้นมา พระองค์ทำให้พวกมนุษย์นั้น มีพลังมหาศาลแทบจะเทียบเท่ากับพระองค์
มนุษย์อาศัยอย่างผาสุก บนอาณาจักรนิรันดรนั้น กับพระพรหมัน ผู้เป็นเจ้า มาสักระยะหนึ่ง จนกระทั่งวันหนึ่ง มนุษย์กลับมีความโลภ โกรธ หลง ต้องการพลังทั้งหมดเท่าที่พระเป็นเจ้ามี หรืออาจต้องการมากกว่าพระเป็นเจ้าเสียด้วยซ้ำ พวกเขาตัดสินใจก่อกบฏ รวมกำลังจะไปต่อสู้กับพระเจ้า เพื่อหวังชิงมหาอำนาจนั้น
แต่องค์พรหมัน ก็สามารถกำราบมนุษย์ผู้โอหังทั้งหลายเหล่านั้นได้ ก่อนจะจับพวกมนุษย์ทั้งหมดกักขังไว้ และพระองค์ก็กำลังจะลงโทษเหล่ามนุษย์ ด้วยการช่วงชิงเอาพลังที่มนุษย์มีไปจากพวกเขาให้หมด แล้วจะส่งพวกเขาไปสู่ดินแดนที่พวกเขาต้องอาศัยอยู่ด้วยความยากลำบาก ดินแดนที่พวกเขาต้องมีชีวิตอยู่ด้วยการพึ่งพาปัจจัยมากมายสำหรับการดำรงชีวิต


ขณะที่องค์พรหมันกำลังจะยึดช่วงชิงพลังอำนาจอันวิเศษจากมนุษยชาติทั้งมวล เทวดาผู้เป็นผู้รับใช้มหาพรหมันก็ถามขึ้นด้วยความสงสัยว่า
"มหาพรหมัน พระเป็นเจ้า ข้าสงสัยเหลือเกินว่า พระองค์จะเอาพลังอันวิเศษนั้น ไปซ่อนในที่หนแห่งใดหรือ พระเจ้าข้า"
พระพรหมัน แย้มพระสรวลเล็กน้อย แล้วตรัสว่า
"โอ้ เทวดา เราจะซ่อนมันไว้ในที่ที่พวกมันจะไม่มีทางหาเจอ หรือหาได้ยากยิ่งเป็นที่สุด"
เทวดาทำหน้าฉงน
"ที่ใดหรือ? พระเป็นเจ้าของข้า บนฟ้าหรือ?พระเจ้าข้า"
พระพรหมัน ตรัสต่อ
"ไม่เทวดา หากข้าเอาไปไว้บนฟ้า วันหนึ่งมนุษย์จะขึ้นไปถึงฟ้า และเก็บเกี่ยวพลังนั้นมาได้อย่างง่ายดาย"
เทวดาคิดแล้วถามต่อ
"หรือพระองค์จะซ่อนมันไว้ในมหาสมุทร?"
พระพรหมันส่ายพระพักตร์เบาๆ
"ไม่เทวดา วันหนึ่งพวกเขาก็จะสามารถสำรวจมหาสมุทรจนพบขุมพลังนั้นอย่างง่ายดาย"
เทวดาสนใจใคร่รู้มากขึ้น รีบถามต่อ
"หรือพระองค์คงจะฝังมันไว้ใต้โลก พระเจ้าข้า"
พระพรหมันทรงพระสรวล
"ไม่เทวดา มนุษย์จะเก่งกาจพอที่จะเข้าถึงใต้พิภพ อันร้อนระอุ พวกเขาจะเข้าถึงขุมพลังนั้น"
เทวดารีบถามต่อ
"ถ้างั้น พระองค์อาจจะซ่อนมันไว้ตามดวงดาวทั้งหลายใช่ไหม พระเจ้าข้า"
พระพรหมัน ตอบเทวดา
"ไม่อีกเทวดา เมื่อถึงวันหนึ่ง ไม่มีดาวดวงใดที่มนุษย์จะพิชิตไม่ได้ พวกเขาจะเข้าครอบครองขุมพลังนั้นแน่ในเวลารวดเร็ว"
เทวดาถามต่อด้วยความใคร่รู้อย่างมากขึ้นอีก
"แม้กระทั่งดวงอาทิตย์อันร้องแรงหรือ พระเจ้าข้า"
พระมหาพรหมัน พยักพระพักตร์
"เทวดา เราเชื่อว่า วันหนึ่งมนุษย์ตัวจ้อย จะสามารถดับแม้กระทั่งอาทิตย์อันแผดเผาทุกสิ่งได้นั้นด้วย"
เทวดาหมดปัญญาที่จะคิดแล้ว จึงยอมจำนน ให้พระเป็นเจ้าเฉลยที่ซ่อน
"แล้วพระองค์จะเอามหาพลังอำนาจนี้ไปซ่อนที่ใดหรือ พระเจ้าข้า"
พระพรหมันแย้มพระสรวลเล็กน้อย ก่อนตรัสขึ้นว่า

"เราจะซ่อนมันไว้ ในจิตวิญญาณของพวกมันเอง จิตวิญญาณที่อยู่ในกายหยาบของพวกมัน มันจะไม่มีทางหาเจอถ้าเราซ่อนมันไว้ในนั้น"
พระพรหมันเดินไปมองเหล่ามนุษย์ผู้ถูกกักขัง ก่อนจะตรัสต่อ
"มนุษย์จะมีความเจริญในทุกๆด้าน พวกมันจะพิชิตฟ้า มหาสมุทร ผืนโลกยันใต้พิภพ แม้กระทั่งเหล่าดาราจักร แต่พวกมันแทบจะไม่สนใจที่จะค้นหาจิตวิญญาณของตนเอง พวกมันจะไม่สนใจว่าตนเป็นใคร และกำลังจะเดินทางไปสู่หนใด พวกมันจะไม่รู้เลยว่าพวกมันมีเป้าหมายสำคัญที่ต้องไปให้ถึง"
"พลังอันยิ่งใหญ่ที่เราจะซ่อนไว้ เราจะใส่ในจิตของพวกมัน ที่ที่พวกมันจะไม่มีวันพบเจอมันอีก ตลอดกาล"

ต่อจากนั้นองค์พรหมันก็มีพระบัญชาให้เหล่าคณะเทวดาไปดำเนินการบรรจุขุมพลังดังกล่าว ลงในจิตวิญญาณส่วนที่ลึกที่สุดของเหล่ามนุษย์ เทวดาตนหนึ่งเกิดสงสัยขึ้นมาอีก
"พระองค์คิดว่า มันจะใจร้ายไปหน่อยหรือไม่ ที่ทำอย่างนี้กับเหล่ามนุษย์ ถ้าพวกมันไม่มีวันได้กลับขึ้นมายังอาณาจักรของพระองค์อีก หรือถ้าพวกมันไม่มีวันหลุดพ้นจากกิเลสทั้งหลายเลยล่ะ"
มหาพรหมันทรงพระสรวล แล้วแย้มพระสรวลอย่างมีเมตตา

"เราไม่ใจร้ายขนาดนั้นหรอกเทวดา เราจะส่งผู้ชี้ทางลงไปที่นั่น ไปตามพวกเขากลับมา ถ้าพวกเขาอยากกลับมา อยากจะพบพลังในตัวนั้น พวกเขาก็แค่เดินตามคุรุเหล่านั้นที่เราจะส่งไป"

เหล่าเทวดาหมดข้อสงสัย และตั้งหน้าตั้งตาทำงานกันต่อไป
ฝ่ายท้าวมหาพรหม พระเป็นเจ้า ก็ทรงงานของพระองค์เช่นกัน

"เราจะส่งใครลงไปช่วยก่อนดีนะ........."