อังคาร กัลยาณพงศ์

ผมเป็นกวี ตั้งแต่ชาติที่แล้ว

 

วันนี้ ผมมีประวัติและผลงานบางส่วนของบุคคลท่านหนึ่งมาแนะนำให้เด็กน้อยสมัยนี้ สมัยแห่งความงามทางเทคโนโลยีกำลังรุ่งโรจน์ ก่อนจะมีความงานทางเทคโนโลยีนี้ยังมีความงามที่เคยเกิดขึ้นก่อนหน้านี้ ซึ่งก็คือความงามแห่งกวี ท่านผู้นี้ผู้ซึ่งเป็นผู้จรรโลงโลกนี้ตามวิถีแห่งกวี  ท่านมีชื่อว่า  อังคาร กัลยาณพงศ์ มาดูประวัติคร่าวๆสมัยท่านยังหนุ่มๆ กันดีกว่าคับ

ในสมัยหนุ่มนั้น  ท่านอังคารนับเป็นหนึ่งในบรรดาชายหนุ่มที่มีศัพท์เรียกเป็นการเฉพาะว่า “Angry Young Man” คือคนหนุ่มที่มีอุดมคติที่ต้องการจะเปลี่ยนแปลงโลก  กบฏต่อสิ่งที่เห็นว่าคร่ำครึล้าหลัง มีพลังและความหวังในการสร้างสิ่งใหม่ๆที่ดีงามตามนิยามของตนขึ้นมา จึงคล้ายกับว่าเกรี้ยวกราดต่อสิ่งที่ไม่ดีไม่งาม ไม่เป็นไปตามอุดมคติของตน  (ซึ่งในปัจจุบันนี้ บุคลิกของความเป็น  “Angry Young Man” ของหนุ่มสาวไม่มีให้เห็นแล้ว)

เมื่อเป็นเช่นนั้น บรรดา “Angry Young Man” ทั้งหลาย จึงมีพลังในการสร้างสรรค์สิ่งใหม่ๆเพื่อแสดงอัตลักษณ์ของตน  เมื่อปฏิเสธสิ่งที่มีอยู่ก็ต้องสร้างสิ่งใหม่ขึ้นมา ดังเช่น “ท่านอังคาร”  เห็นข้อจำกัดของฉันทลักษณ์แบบเก่า จึงได้สร้างฉันทลักษณ์แบบใหม่ของตนขึ้นมา  เพื่อให้สามารถนำเสนอความคิดในแบบของได้อย่างเต็มที่

แม้ในยุคสมัยของการเป็น “Angry Young Man”  จะถูกสังคมในขณะนั้นมองว่าเป็นพวกขวางโลก หรือเป็นอันธพาลทางความคิด เป็นพวกก้าวร้าวรุนแรง  แต่ก็ได้พิสูจน์ในการต่อมาว่า  ผลงานของ “Angry Young Man” ในวันเก่าก่อนนั้น  ได้สร้างประโยชน์ต่อสังคมในสมัยต่อมาอย่างไม่อาจปฏิเสธได้ ดังเช่น กวีนิพนธ์ทั้งหลายทั้งปวงของท่านอังคาร ได้สร้างผลสะเทือนต่อโลกทัศน์กวีนิพนธ์ในปัจจุบัน  มีกวีเป็นจำนวนไม่น้อยที่สร้างสรรค์งานในแบบที่ท่านอังคารเคยทำมาก่อน  นั่นคือ ก้าวพ้นไปจากขนบเดิมๆในเรื่องฉันทลักษณ์  ถือเป็นเพียงเครื่องมืออย่างหนึ่งในการส่งผ่านความคิด ไม่ใช่กฎเกณฑ์หรือระเบียบแบบแผนที่กำหนดความเป็นกวีเหมือนแต่ก่อน

บทกวีบทหนึ่งท่านอังคาร ที่แสดงให้เห็นถึงความเป็น “Angry Young Man” ได้ที่สุดก็คือ “เสียเจ้า” ซึ่งเป็นบทกวีในใจของใครต่อใครมากมาย รวมทั้งผมคนหนึ่งด้วย  ผมรู้จักบทกวีนี้เมื่อตอนเรียนอยู่ชั้นมัธยมปลาย เพราะได้อ่านนิยายเรื่อง “ความรักครั้งสุดท้าย” ของ สุวรรณี สุนคนธา มีฉากที่บรรดาศิลปินนักเขียนหนุ่มสาวแถวหน้าพระลานนั่งถกเรื่องบทกวีกัน และมีใครคนหนึ่งพูดขึ้นว่า ชอบบทกวีของ อังคาร กัลยาณพงศ์ บทที่ชื่อ เสียเจ้า แล้วก็ท่องให้เพื่อนๆฟัง

 

ผลงานของท่านบางส่วน

เสียเจ้า

๏ เสียเจ้าราวร้าวมณีรุ้ง
มุ่งปรารถนาอะไรในหล้า
มิหวังกระทั่งฟากฟ้า
ซบหน้าติดดินกินทราย


๏ จะเจ็บจำไปถึงปรโลก
ฤๅรอยโศกรู้ร้างจางหาย
จะเกิดกี่ฟ้ามาตรมตาย
อย่าหมายว่าจะให้หัวใจ


๏ หากเจ้าอุบัติบนสรวงสวรรค์
ข้าขอลงโลกันตร์หม่นไหม้
สูเป็นไฟ เราเป็นไม้
ให้ทำลายสิ้นถึงวิญญาณ


๏ แม้แต่ธุลีมิอาลัย
ลืมเจ้าไซร้ชั่วกาลปาวสาน
แม้นชาติไหนเกิดไปพบพาน
จะทรมานควักทิ้งทั้งแก้วตา


๏ ตายไปอยู่ใต้รอยเท้า
ให้เจ้าเหยียบเล่นเหมือนเส้นหญ้า
เพื่อจดจำพิษช้ำนานา
ไปชั่วฟ้าชั่วดินสิ้นเอย


ปณิธานของกวี

๏ ฉันเอาฟ้าห่มให้ หายหนาว
ดึกดื่นกินแสงดาว ต่างข้าว
น้ำค้างพร่างกลางหาว หาดื่ม
ไหลหลั่งกวีไว้เช้า ชั่วฟ้าดินสมัยฯ

๏ พลีใจเป็นป่าช้า อาถรรพณ์
ขวัญลิ่วไปเมืองฝัน ฟากฟ้า
เสาะทิพย์ที่สวรรค์ มาโลก
โลมแผ่นทรายเส้นหญ้า เพื่อหล้าเกษมศานต์ฯ

๏ นิพนธ์กวีไว้เพื่อกู้ วิญญาณ
กลางคลื่นกระแสกาล เชี่ยวกล้า
ชีวีนี่มินาน เปลืองเปล่า
ใจเปล่งแววทิพย์ท้า ตราบฟ้าดินสลายฯ

๏ จิตกาธารกรุ่นไหม้ โฉมไป ก็ดี
กาพย์ร่ำหอมแรงใจ ไป่แล้ว
จุติที่ภพไหน ภพนั่น
ขวัญท่วมทิพย์รุ้งแก้ว ร่วงน้ำมณีสมัยฯ

๏ ลายสือไหววิเวกให้ หฤหรรษ์
ฝนห่าแก้วจากสวรรค์ ดับร้อน
ใจปลิวลิ่วไปฝัน โลกอื่น
หอมภพนี้สะท้อน ภพหน้ามาหอมฯ

๏ ข้ายอมสละทอดทิ้ง ชีวิต
หวังสิ่งสินนฤมิต ใหม่แพร้ว
วิชากวีจุ่งศักดิ์สิทธฺ์ สูงสุด
ขลังดั่งบุหงาป่าแก้ว ร่วงฟ้ามาหอมฯ


ลำนำภูกระดึง

๏ ภูกระดึงตะลึงฝันว่าชั้นฟ้า
เมฆลอยมาหุ้มกายคล้ายสวรรค์
สวนสนป่าพฤกษาลดาวัลย์
เย้ายวนป่วนปั่นสั่นวิญญาณ

๏ เนินเถินสล้างสลับซับซ้อน
หญ้าอ่อนชะอ้อนใจไหวสะท้าน
งามเงื้อมชะโงกโตรกเหวธาร
ปานวิมานนฤมิตวิจิตรจริง


หยาดน้ำค้างคือน้ำตาของเวลา ตอน นิมิตในสายรุ้ง

๏ รัตติกาลในม่านดำสีคล้ำหม่น
กาลจวบจนจวนเช้าป่าเขากว้าง
ทุ่งราบใหญ่ในเช้าตรู่ดูเวิ้งว้าง
ดูเคว้งคว้างหว่างเขาลำเนาไพร

๏ ละอองหมอกมัวคลุ้มคลุมดอยสูง
ไม้ยางยูงยอดเทียมเยี่ยมฟ้าใส
ตะวันรุ่งรุ้งทองผ่องอำไพ
งามละไมในเงาหมอกออกอัศจรรย์

๏ น้ำค้างหยดหยาดลงตรงใบไม้
ทิ้งรอยไว้ในดินทรายดังลายสวรรค์
ฝากละอองเป็นน้ำไหลใต้ตะวัน
ฝากรอยฝันสรรค์ลิขิตดังจิตกร

๏ ดอกไม้ป่าพากันแย้มแต้มแต่งสี
รับรวีที่ส่องมาเหมือนคราก่อน
ฝูงวิหคผกผินออกบินจร
หมู่ภมรร่อนชมดมมาลี

๏ เพียงยลยินทั้งดินฟ้าและอากาศ
ธรรมชาติสะอาดงามตามวิถี
ชำระใจไร้ชั่วมัวราคี
เพียงเท่านี้มีสุขทุกวันคืน