• ฟังก์ชัน ม.4

    ฟังก์ชัน หรือ ภาษาอังกฤษใช้คำว่า Function คำว่าฟังก์ชันนั้นเชื่อว่านักเรียนทุกคนที่เรียนในระบบ หรือนอกระบบถ้าได้เรียนคณิตศาสตร์คงเคยได้ยินคำนี้ คำว่าฟังก์ชัน หลายคนอาจจะยังไม่เข้าใจความหมายของฟังก์ชันอย่างแท้จริง มันนี้ผมจะอธิบายคำว่าฟังก์ชัน ให้ทุกคนได้เข้าใจ โดยใช้ภาษาแบบบ้านๆ ส่วนภาษาในทางคณิตศาสตร์นั้นทุกคนคงได้ยินได้ฟังมามากแล้ว วันนี้ขออธิบายความหมายของฟังก์ชันแบบ บ้านๆแล้วกันครับ

    จุดกำเนิดของฟังก์ชัน มาจากความสัมพันธ์  สมมติ ผมมีความสัมพันธ์ 2  แบบ  

    แบบที่ 1 ให้ชื่อว่าความสัมพันธ์ r ซึ่งผมกำหนดให้  \(r=\{(1,2),(3,4),(5,6),(7,8)\}\)

    แบบที่ 2  ให้ชื่อว่าความสันพันธ์ s ซึ่งกำหนดใด้ \(s=\{(1,2),(1,3),(4,5),(6,7)\}\)

    ดูรูปประกอบ

                                        แบบที่ 1

                                         แบบที่ 2

    จากรูปความสัมพันธ์  แบบที่ 1 สมาชิกของโดเมนทุกตัวจับคู่กับสมาชิกในเรนจ์เพียงแค่ตัวเดียว ความสัมพันธ์แบบนี้เรียกว่า  ฟังก์ชัน จำไว้เลย

    แต่

    ความสัมพันธ์ แบบที่ 2 มีสมาชิกของโดเมนบางตัวคือ 1 ไปจับคู่กับสมาชิกในเรนจ์เกินหนึ่งตัว ความสัมพันธ์แบบที่ 2 นี้เป็นได้แค่ความสัมพันธ์แต่ไม่ใช่ฟังก์ชัน

    นี่คือความหมายของฟังก์ชันแบบบ้านๆ ง่ายๆ ดูที่คู่อันดับของความสัมพันธ์ถ้าโดเมนมันไปจับคู่เกินหนึ่งตัวในเรนจ์ความสัมพันธ์นั้นจะไม่เป็นฟังก์ชัน นะ

    ตัวอย่าง 1  ความสัมพันธ์ต่อไปนี้เป็นฟังก์ชันหรือไม่

    1) \(\{(1,2),(2,3),(3,4),(4,5)\}\)

    เป็นฟังก์ชันเพราะสมาชิกในโดเมนจับคู่กับเรนจ์เพียงตัวเดียวพูดง่ายๆคือสมาชิกในโดเมนไม่ซ้ำกัน

    2) \(\{(1,a),(2,b),(3,c),(4,d)\}\)

    เป็นฟังก์ชัน

    3) \(\{(1,a),(2,a),(3,a),(4,a),(5,a)\}\)

    เป็นฟังก์ชัน ถึงแม้ว่าสมาชิกในเรนจ์ซ้ำกัน แต่โดเมนห้ามซ้ำกันก็พอ

    4) \(\{(1,2),(2,4),(3,6),(1,8)\}\)

    ไม่เป็นฟังก์ชันเพราะมีสมาชิกในโดเมนซ้ำกันคือ 1

    5) \(\{(2,3),(2,4),(2,5)\}\)

    ข้อนี้ไม่เป็นฟังก์ชันชัดเจนเลย สมาชิกในโดเมนซ้ำกันสุดๆ

    6) \(\{(x,y)\in A \times A |y=x^{2}\} \)

    โดยที่ \(\quad\) \(A=\{-3,-2,-1,0,1,2,3\}\)

    ข้อนี้ดูเงื่อนไขดีๆนะ เอา x มายกกำลังสองแล้วได้ค่า y   ฉะนั้นจะได้คู่อันดับ (-1,1) เพราะ \((-1)^{2}=1\)

    (0,0)  เพราะ \(0^{2}=0\)  

    (1,1)  เพราะ \(1^{2}=1\)

    ดังนั้นเซตนี้ถ้าเขียนแบบแจกแจงสมาชิกก็จะได้

    \(\{(-1,1),(0,0),(1,1) \}\)

    นั่นคือ เห็นชัดเจนว่าเป็นฟังก์ชัน

    7) \(\{(x,y) \in A \times A |x+y=6 \}\)

    โดยที่ \(\quad\) \(A=\{1,2,3,4,5\}\)

    ข้อนี้มาดูเงื่อนไขคือ บวกกันแล้วได้ 6 ก็จะมี \(\quad\) \( (1,5),(2,4),(3,3),(4,2),(5,1)\)

    ดังนั้นเซตนี้ถ้าเขียนแบบแจกแจงสมาชิกก็จะได้

    \(\{(1,5),(2,4),(3,3),(4,2),(5,1)\}\)

    นั่นคือ เห็นชัดเจนว่าเป็นฟังก์ชัน

    8) \(\{(x,y)\in A\times A|x=y^{2}\};A=\{-2,-1,0,1,2\}\)

    ข้อนี้มาดูเงื่อนไข วายกำลังสองแล้วได้เอ็กซ์ ก็จะมีคู่อันดับ (1,-1)  เพราะ \((-1)^{2}=1\)

    (1,1)  เพราะ  \(1^{2}=1\)

    (0,0)  เพราะ \(0^{2}=0\)

    ดังนั้นเซตนี้ถ้าเขียนแบบแจกแจงสมาชิกก็จะได้

    \(\{(1,-1) ,(1,1) ,(0,0)\}\) \(\quad\) จะเห็นว่ามีโดเมนคือเลข 1 ซ้ำกัน

    นั่นคือ ความสัมพันธ์นี้ไม่เป็นฟังก์ชัน

     

  • ฟังก์ชันเพิ่ม ฟังก์ชันลด

    ในหัวข้อนี้เราจะกล่าวถึงฟังก์ชันเพิ่ม กับฟังก์ชันลดนะครับ ซึ่งในหัวข้อนี้เราจะใช้การประยุกต์เกี่ยวกับอนุพันธ์เพื่อหาว่าฟังก์ชันที่กำหนดให้นั้นเป็นฟังก์ชันเพิ่มและฟังก์ลดในช่วงใดบ้าง แต่ก่อนที่จะไปดูเนื้อหาตรงนี้ เรามาดูทบทวนนิยามของฟังก์เพิ่มและฟังก์ชันลดกันก่อน ซึ่งเรียนมาตั้งแต่ ม.4 แล้วนะครับ

    นิยาม

    \(f\) เป็นฟังก์ชันเพิ่มบนช่วง \(I\) ก็ต่อเมื่อ สำหรับสมาชิก \(x_{1},x_{2}\) ใดๆที่อยู่ในช่วง \(I\)  ถ้า \(x_{1}<x_{2}\) แล้ว \(f(x_{1})<f(x_{2})\)

    \(f\) เป็นฟังก์ชันลดบนช่วง \(I\) ก็ต่อเมื่อ สำหรับสมาชิก \(x_{1},x_{2}\) ใดๆที่อยู่ในช่วง \(I\) ถ้า \(x_{1}<x_{2}\) แล้ว \(f(x_{1})>f(x_{2})\)

    หรือถ้าพูดเป็นภาษาบ้านๆ ก็คือ ถ้าฟังก์ชันนั้นมีค่า x เพิ่มและค่า y ก็เพิ่มตามด้วยหรือ ค่า x ลด ค่า y ก็ลดตามด้วย ฟังก์นั้นจะเป็นฟังก์ชันเพิ่ม

    แต่ถ้า ฟังก์ชันนั้นมีค่า x เพิ่มแต่ค่า y กลับลดลง หรือ ค่า x ลด แต่ค่า y กลับเพิ่มขึ้นคือแปรผกผันกัน ฟังก์ชันนั้นจะเป็นฟังก์ชันลด  

    ต่อไปเราจะประยุกต์เรื่องของอนุพันธ์ในการหาฟังก์ชันเพิ่มฟังก์ชันลดครับ ดูต่อด้านล่างเลย

    ทฤษฎีบท  ให้ \(f\) เป็นฟังก์ชันที่หาอนุพันธ์ได้บนช่วง \(A\subset D_{f}\)

     1. ถ้า \(f^{\prime}(x)<0\) สำหรับทุก \(x\) ในช่วง \(A\) แล้ว \(f\) เป็นฟังก์ชันลด (decreasing function) บนช่วง \(A\)

     2. ถ้า \(f^{\prime}(x)>0\) สำหรับทุก \(x\) ในช่วง \(A\) แล้ว \(f\) เป็นฟังก์ชันเพิ่ม (increasing function) บนช่วง \(A\)

    อ่าน ทฤษฎีบทแล้ว ต่อไปลองทำแบบฝึกหัดเพื่อดูว่าฟังก์ชันไหนเป็นฟังก์ชันเพิ่มหรือฟังก์ชันลด

    แบบฝึกหัด

    1. จงหาช่วงซึ่งฟังก์ชันที่กำหนดให้แต่ละข้อต่อไปนี้เป็นฟังก์ชันเพิ่มหรือฟังก์ชันลด

    1) \(f(x)=3-2x-x^{2}\)

    วิธีทำ  จาก

    \(f(x)=3-2x-x^{2}\)

    \(f^{\prime}(x)=-2-2x=-2(1+x)\)

    ซึ่งถ้าเราลองแก้อสมการนี้  \(-2(1+x)>0\)

    \begin{array}{lcl}-2(1+x)&>&0\\1+x&<&0\\x&<&-1\end{array}

    จะเห็นว่า  \(f^{\prime}(x)=-2(1+x)>0\)  เมื่อ \(x<-1\)

    ตามทฤษฎีบท จะได้ว่า \(f\) เป็นฟังก์ชันเพิ่มบนช่วง \((-\infty,-1)\)

    ซึ่งถ้าเราลองแก้อสมการนี้  \(-2(1+x)<0\)

    \begin{array}{lcl}-2(1+x)&<&0\\1+x&>&0\\x&>&-1\end{array}

    จะเห็นว่า  \(f^{\prime}(x)=-2(1+x)<0\)   เมื่อ \(x>-1\)

    ตามทฤษฏีบท จะได้ว่า \(f\) เป็นฟังก์ชันลดบนช่วง \((-1,\infty)\)

    ดูภาพประกอบ ผมจะวาดกราฟให้ดูโดยใช้โปรแกรม geogebra นะครับ ดูภาพประกอบจะได้เห็นภาพชัดเจนขึ้น และที่สำคัญอย่าลืม นิยาม ของฟังก์ชันลด ฟังก์ชันเพิ่ม


    2) \(f(x)=2x^{2}-x-3\)

    วิธีทำ จาก

    \(f(x)=2x^{2}-x-3\)

    \(f^{\prime}(x)=4x-1\)

    ซึ่งจะเห็นได้ว่า

    \begin{array}4x-1&>&0\\x&>&\frac{1}{4}\end{array}

    จะเห็นได้ว่า \(f^{\prime}(x)=4x-1>0\) เมื่อ \(x>\frac{1}{4}\)

    นั่นก็คือ \(f\) เป็นฟังก์ชันเพิ่มบนช่วง \((\frac{1}{4},\infty)\)

    และอีกอัน

    \begin{array}{lcl}4x-1&<&0\\x&<&\frac{1}{4}\end{array}

    จะเห็นว่า \(f^{\prime}(x)=4x-1<0\) เมื่อ \(x<\frac{1}{4}\)

    นั่นก็คือ \(f\) เป็นฟัง์ชันลดบนช่วง \((-\infty,\frac{1}{4})\)

    ดูรูปประกอบด้านล่างครับ


    3)\(f(x)=2x^{3}+3x^{2}-36x+5\)

    วิธีทำ จาก

    \(f(x)=2x^{3}+3x^{2}-36x+5\)

    \(f^{\prime}(x)=6x^{2}+6x-36=6(x^{2}+x-6)=6(x+3)(x-2)\)

    จะเห็นได้ว่า

    \begin{array}{lcl}6(x+3)(x-2)&>&0\end{array}

    เมื่อ \(x\in (-\infty,-3)\cup (2,\infty)\)  สำหรับการแก้สมการนี้ให้ไปอ่านตามลิงค์นี้นะครับ ช่วงและการแก้อสมการ

    ซึ่งจากการแก้อสมการ

    \(f^{\prime}(x)>0\) เมื่อ \(x\in (-\infty,-3)\cup (2,\infty)\)  ดังนั้น

    \(f\) เป็นฟังก์ชันเพิ่มในช่วง \(x\in (-\infty,-3)\cup (2,\infty)\) 

    อีกอันหนึ่ง

    \begin{array}{lcl}6(x+3)(x-2)&<0&\end{array}

    เมื่อ \(x\in (-3,2)\)  นั่นก็คือ

    \(f^{\prime}(x)<0\) เมื่อ \(x\in (-3,2)\) ดังนั้น

    \(f\) เป็นฟ้งก์ชันลดในช่วง \(x\in (-3,2)\)